ในช่วงปี 2561 – 2562 คู่แข่งของ Ethereum ปล่อยข่าวว่าระบบบล๊อกเชนนั้น ทำงานช้า มีราคาสูง และไม่มีคุณสมบัติในเรื่องความเป็นส่วนตัว ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้งานได้จริงกับธุรกิจต่างๆ ปัจจุบัน Ethereum กลายเป็นเครือข่ายที่มีการใช้งานสำหรับแอพพลิเคชั่นระดับองค์กรมากที่สุดและอัตราการเติบโตยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในบทความนี้ เราจะมาดูข้อบกพร่องที่ถูกกล่าวถึงและไขข้อข้องใจนั้นๆ
1.การเป็นเครือข่ายสาธารณะ
นี่เป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเมื่อพูดถึง Ethereum จริงอยู่ที่เครือข่าย Ethereum เป็นเครือข่ายสาธารณะ (Public Network) แต่เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) บน Ethereum ถูกใช้มากที่สุดสำหรับโซลูชั่นระดับองค์กร ในช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมา อะตาโต้ ได้นำเสนอโซลูชั่นบล๊อกเชนสำหรับธุรกิจการเงินโดยใช้เครือข่ายส่วนตัวเป็นหลักบนเครือข่ายบล๊อกเชน อีกทั้ง ปัจจุบันบริษัท SaaS เช่น Kaleido อนุญาตให้สร้างเครือข่ายเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ซับซ้อน

“Kaleido ได้ทำระบบ Ethereum ที่เป็นระบบส่วนตัว (Permission) ทำให้ผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตใช้ระบบทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย”
เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) บน Ethereum สามารถเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับระหว่างผู้ใข้เครือข่าย ซึ่งการผสมผสานระหว่างเครือข่ายสาธารณะและเครือข่ายส่วนตัวนี้เอง ทำให้ Ethereum เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับโซลูชั่นระดับองค์กร โดยการรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถแชร์ต่อสาธารณะได้เมื่อจำเป็น ในขณะที่บริษัทต่างๆ เข่น EY (ผ่านโปรโตคอล Baseline) กำลังผลักดันให้มีการใช้เครือข่ายสาธารณะ แต่ปัจจุบันแอพพลิเคชั่นบล๊อกเชนขององค์กรต่างๆ ถูกใช้บนเครือข่ายส่วนตัว

2.การขยายขนาดเครือข่าย
เรามักจะมองว่า Ethereum Blockchain ไม่ยืดหยุ่นต่อการขยายขนาดเนื่องจากข้อจำกัดด้านการออกแบบ แอพพลิเคชั่นบางอย่างเช่นการชำระเงินหรือ Decentralized Finance เป็นการทำธุรกรรมจำนวนมากต่อหน่วยวินาที ปัจจุบัน ด้วย 15 TPS จึงดูเป็นเรื่องยากที่จะไปให้ถึง 1,750 TPS ที่ให้บริการโดย Visa และผู้ให้บริการการชำระเงินอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ใช้งานบนเครือข่ายบล๊อกเชน

อย่างไรก็ตาม ยังมีโซลูชั่นอื่นที่เรียกว่า “Layer 2” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สองตัวอย่างที่เห็นได้คือ Rollups และ Plasma ที่ใช้สำหรับธุรกรรมที่ต้องการการส่งข้อมูลที่รวดเร็วและลดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ใช้ แต่ไม่ได้เน้นความสำคัญเรื่องเทคนิคมากจนเกินไป (อ้างอิงจาก Ethereum.org)
Rollups เป็นการรวมธุรกรรมนอกเครือข่ายภายใน Smart Contract บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งช่วยลดค่าธรรมเนียมและความแออัด โดยการเพิ่มปริมาณงานบนเครือข่ายบล๊อกเชนจาก 15 TPS ให้เป็นมากกว่า 1,000 TPS
Plasma Chain คือบล๊อกเชนที่แยกออกมาโดยยังอิงกับ Ethereum หลัก ซึ่งเหมือนกับ Rollups ทำธุรกรรมได้มากกว่า 1,000 TPS
ปัจจุบัน หลากหลายแอพพลิเคชั่นบนเครือข่าย Ethereum ใช้ Rollups กันมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องการขยายขนาด Decentralized Finance (ซึ่งรับผิดชอบการทำธุรกรรมจำนวนมากในปัจจุบัน) ถูกใช้งานบน Layer 2 ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณการทำธุรกรรมและลดค่าธรรมเนียม Vitalik Buterin ยังกล่าวว่าเขามอง Rollups เป็นกลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อรอให้ Ethereum 2.0 เปิดตัว
นอกจากนี้ องค์กรส่วนใหญ่กำลังใช้งานเครือข่ายส่วนตัวซึ่งสามารถรองรับได้ประมาณ 100 TPS (รายละเอียดบล๊อกเชนส่วนตัวที่ทำงานบนระบบ Kaleido ดูได้จากตารางด้านล่าง)

1 แท่งกราฟแทนการทำงานต่อ 5 วินาที ซึ่งโดยรวมคือ 100 TPS
ปัจจุบันมีโซลูชั่นหลากหลายที่รองรับในเรื่องความสามารถในการปรับขนาดและดูเหมือนว่าองค์กรต่างๆ จะเริ่มนำมาใช้กันแล้ว นอกจากนี้ Ethereum 2.0 เฟส 2 ยังมีแนวโน้มที่จะสามารถรองรับเกือบจะ 100,000 TPS ซึ่งช่วยตอบโจทย์เรื่องการปรับขนาดได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกลางจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของการเงินแบบกระจายอำนาจได่
3.ราคาสูง
การทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum นั้นมีต้นทุนค่อนข้างสูง (อยู่ระหว่าง 6 – 17 ดอลล่าห์) ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้แอพพลิเคชั่นสำหรับองค์กรมีต้นทุนที่สูง
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum ทำงานอย่างไร ตามที่อธิบายไว้ใน Ethhub : “ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายต้องใช้ก๊าซ (Gas) จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยที่ใช้วัดในการประมวลผลธุรกรรม ในการประมวลผลและเก็บไว้ในบล๊อก ซึ่งนักขุดต้องการค่าตอบแทน โดยการกำหนดราคาก๊าซในทุกธุรกรรมใน Gwei (1 ETH = 1,000,000 Gwei) ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณส่ง ETH จากบัญชีหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่ง จะเกิดค่าก๊าซ 21000 หากคุณกำหนดราคาก๊าซเป็น 1 Gwei ธุรกรรมนี้จะมีค่าใช้จ่าย 0.000021 ETH
เนื่องจากความต้องการที่สูงขึ้น ราคาก๊าซก็มักจะสร้างจุดสูงสุดใหม่และนี่เป็นข้อจำกัดในการนำไปใช้ในแอพพลิเคชั่นที่มีการทำธุรกรรมจำนวนมาก สามารถตรวจสอบราคาก๊าซแบบเรียลไทม์ได้ที่ https://ethgasstation.info/
เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงนี้ องค์กรต่างๆ จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สกุลเงินดิจิตัลในการดำเนินการ ในเครือข่ายนี้ คุณสามารถเป็นผู้ควบคุมนักขุด (Miner) และสามารถกำหนดได้ว่าจะให้นักขุดเหล่านี้ดำเนินการธุรกรรมประเภทใด คุณสามารถตั้งค่าให้นักขุดทั้งหมดและธุรกรรม (Transaction Fee) ให้ราคาเป็นศูนย์ ในการใช้เครือข่ายบล๊อกเชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตามแม้ว่าต้นทุนการทำธุรกรรมจะเป็นศูนย์ แต่คุณยังต้องใช้เครือข่ายดังกล่าวอยู่ดี ดังนั้น การใช้ผู้ให้บริการบล๊อกเชนเช่น Kaleido จะทำให้คุณมีค่าใช้จ่ายในใช้บล๊อกเชนเท่ากับโหนดที่คุณใช้ การใช้งานเครือข่ายโหนดขนาดกลาง 3 โหนดจะทำให้คุณมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2,000USD/เดือน
ด้วยภาวะการแข่งขันที่สูง จึงไม่น่าแปลใจที่เราจะเห็นโซลูชั่นระดับองค์กรส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีดังกล่าว
การใช้เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) และไม่มีค่าก๊าซ (Gas) ในองค์กรที่ปริมาณธุรกรรมหลักอยู่ในระดับที่สูงตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ได้มาก

บทสรุป
บล๊อกเชน ยังคงเป็นเทคโนโลยีใหม่ การพัฒนาปรับปรุงเครือยข่ายยังคงเกิดขึ้นทุกวันโดยกลุ่มนักพัฒนาที่มีความสามารถ (ซึ่งมีมากถึง 900,000คนในปัจจุบัน)
แม้จะมีข้อจำกัด แต่ในเวลาไม่ถึง 4 ปี Ethereum ได้ให้กำเนิดวิธีใหม่ๆ ในการระดมทุน (ICP/STO) , Decentralized Finance ที่มีมูลค่ามากกว่า 28 พันล้านเหรียญสหรัฐ, การชำระบัญชีภายในองค์กรและสถาบัน และแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยเพิ่ม ROI ให้กับองค์กร
การเปิดตัว ETH 2.0, การขยายขนาด Layer 2, และการที่มีชุมชนกลุ่มนักพัฒนาขนาดใหญ่ จะเป็นการเสริมข้อได้เปรียบหลายๆ ทางให้กับ Ethereum
หากคุณต้องการทราบหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นบน Ethereum ติดต่อเราได้ที่ [email protected]